ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของไม้ประดับ
การที่ไม้ประดับจะเจริญเติบโต แข็งแรงและมีสุขภาพดีได้นั้น หาได้ขึ้นอยู่กับการให้น้ำและให้ปุ๋ยอย่างเพียงพอเท่านั้นไม่ แต่ยังมีปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของไม้ประดับอยู่อีกหลายประการ ที่ผู้ปลูกเลี้ยงควรจะรู้และทำความเข้าใจเอาไว้ ปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่ออาการเจริญเติบโตของไม้ประดับ มีอยู่ด้วยกันหลายประการ ดังนี้คือ
- แสงสว่าง
- อุณหภูมิ
- น้ำและความชื้น
- อากาศ
- ธาตุการหาร
- ดิน
แสงสว่าง แสงสว่างเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อพืชเป้ฯอย่างมาก เพราะพืชจะต้องใช้พลังงานจากแสงสว่างในขบวนการสังเคราะห์แสง ซึ่งจะได้แป้งและน้ำตาลมาใช้ในการดำรงชีวิต ความต้องการแสงของพืชนั้นจะมีปริมาณที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับชนิดของพืช เราจะเห็นได้ว่าพืชชนิดใดก็ตามที่มีใบสีเขียวมากจะสังเคราะห์แสงได้มากกว่าพืชที่มีใบสีเขียวอยู่น้อยหรือมีสีอืนที่ไม่ใช่สีเขียวเพราะพืชที่มีใบสี เขียวจะมีคลอโรฟิลล์มาก ดังนั้นพืชบางชนิดจึงพยายามที่จะปรับคลอโรฟิลล์ของมันเองให้มากหรือน้ย ตามปริมาณของแสงที่ได้รับในเรื่องของไม้ประดับนี้ ถ้าผู้ปลูกเลี้ยงต้องการที่จะรักษาความงามตามธรรมชาติของไม้ประดับเอาไว้ ให้คงอยู่นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ก็จะต้องศึกษาถึงปริมาณของแสงที่ไม้ประดับนั้น ๆ ต้องการให้ดีเสียก่อน
ความต้องการแสงของพืชนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มคือ1. กลุ่มของพืชที่ต้องการแสงน้อย พืชในกลุ่มนี้เหมาะที่จะปลูกเป็นไม้ประดับในร่ม ส่วนมากจะปลูกอยู่ในหร้องหรือในอาคารสำนักงาน ที่มีแสงน้อย
อากาศเย็นสบาย ซึ่งได้แก่ แก้วหน้าม้า หน้าวัว และพืชตระกูลเฟิร์น บางชนิด เป็นต้น
2. กลุ่มของพืชที่ต้องการแสงปานกลาง พืชในกลุ่มนี้จะทนแสงแดดได้พอสมควร การนำมาปลูกประดับไว้ในห้องหรืออาคารสำนักงานจะต้องตั้งเอาไว้
ใกล้ๆกับหน้าต่างหรือระเบียงบ้านที่แดดส่องถึงบ้างโดยเฉพาะในตอนเช้าและตอนบ่าย พืชในกลุ่มนี้ได้แก่ ดาดตะกั่ว ปริก ปาล์มจีบ
ปาล์มชมพูและพืชในตะกูลวาสนาบางชนิด
3. กลุ่มของพืชที่ต้องการแสงมาก พืชในกลุ่มนี้จัดเป็นพืชกลางแจ้งนิยมปลูกไว้นอกตัวอาคารหรือปลูกตามสนามหญ้า ต้องการแสงแดดจัดตลอดทั้งวัน ได้แก่ อากาเว่ เฟื่องฟ้า โกสน เล็บครุฑ ปาล์มต่าง ๆ หมากเหลือง หมากแดงและวาสนา เป็นต้น
อุณหภูมิ อุณหภูมิ คือความร้อนเย็นของกาศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ที่มีผลต่อการเจริญเต็บโตของพืช จะเห็นได้ว่าอุณหภูมิหรือความร้อนในกาศยิ่งสูงขึ้นมากเท่าไหร่ พืชก็จะคาจน้ำมาขึ้นเท่านั้น รวมไปถึงการระเหยของน้ำที่อยู่รอบๆ บริเวณต้นพืชด้วย อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช คืออุณหภูมิที่อยู่ในช่วง 15-40 อาศาเซนเซียส ดังนั้น การที่จะนำพืชมาปลูกเป็นไม้ประดับนัเน ผู้ปลูกเลี้ยงจะต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิ ที่พืชเหล่านั้นต้องการด้วยน้ำและความชื้น สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะต้องมีน้ำเป้นส่วนประกอบของร่างกายด้วยกันทั้งนั้นพืชก็เช่นกัน เพราะพืชมีความจำเป้นที่จะต้องใช้น้ำในขบวนการสังเคราะห์แสงหล่อเลี้ยงเซลล์และยังเป็นตัวละลายแร่ธาตุต่างๆ ก่อนที่จะลำเลียงเข้าสู่ต้นพืชอีกด้วยพืชทุกชนิดจะต้องการน้ำในปริมาณที่ต่างกันและความต้องการน้ำของพืชย่อมขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของพืช ถิ่นกำเนิดของพืชบางครั้งก็สามารถที่จะบอกได้ถึงความต้องการน้ำของพืชนั้น ๆ เช่น พืชที่เกิดอยู่ในแถบที่มีความแห้งแล้ง ย่อมจะต้องการปริมาณน้ำน้อยกว่าพืชที่เคยอยู่ในที่ ๆ ชุ่มชื้นมาก่อน สำหรับความชื้นในอากาศนั้นถือว่าเป็นปัจจัยทางอ้อม ที่มีผลต่อปริมาณความต้องการน้ำของพืช คือถ้าความชื่นอยู่ได้แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ความชื้นในอากาศลดลงพืชก็จะควยน้ำมากขึ้นและนั้นก็แน่นอนว่าพืชจะต้องการน้ำเพื่อมาชดเชยปริมาณน้ำ ที่สูญเสียไปมากขึ้นเช่นกัน อากาศ อากาศก็เป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งโดยพืชจะหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปทางใบ เพื่อใช้ในขบวนการต่างๆ การหายใจของพืชไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ใบเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นที่รากอีกด้วย เราจะพบอยู่บ่อย ๆ ว่า พืชที่รากแช่อยู่ในน้ำนานๆ นั้น จะเหี่ยวเฉาและตายในที่สุด สาเหตุเพราะว่าน้ำเข้าไปแทรกอยู่ในดินจนหมด ทำให้ไม่มีช่องว่างที่อากาศไหลจะเวียนเข้ามาได้ ดังนั้นในกรปลูกไม้ประดับ ผู้ปลูกจะต้องมีการเตรียมดินให้ดี คือดินจะต้องมีความร่วนซุยพอ เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกธาตุอาหาร ธาตุอาหารหรืออาหารของพืช เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยธรรมชาติแล้วพืชจะได้รับธาตุอาหารต่างๆ จากดินแต่บางครั้งธาตุอาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาตินั้นก็หาได้มีเพียงพอกับความต้องการของพืชไม่ จึงจำเป็นที่ผู้ปลูกเลี้ยงจะต้องเพิ่มธาตุอาหารลงไปในดิน ธาตุอาหารหรือปุ๋ยที่เราเติมลงไปในดินให้กับพืชนั้น มีอยู่ 2 ชนิด คือ
1. ปุ๋ยอินทรีย์ คือ ปุ๋ยที่เกิจากซากพืชและซากสัตว์ ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักและปุ๋ยเทศบาล เป็นต้น
2. ปุ๋ยอนินทรีย์ คือ ปุ๋ยที่เกิจากการสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ ปุ๋ย ยูเรีย ไนเตรทหรือร๊อคฟอสเฟต ปุ๋ยพวกนี้มีทั้งเป็นปุ๋ยเดี่ยวและปุ๋ยรวม ส่วนมากจะเรียกกันเป็นสูตรเช่น4600หรือ15-15-15เป็นต้นปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกนั้นนิยมใช้คลุกเคล้ากับดินที่จะปลูกหรือรองกันหลุมเพื่อให้ดิน
มีความอุดมสมบูรณ์และร่วนซุยอีกทั้งยังเป็นตัวช่วยปรับสภาพโครงสร้างของดินให้ดีอีกด้วยแต่การให้ผลตอบสนองจะช้ากว่าปุ๋ยเคีซึ่งปุ๋ยเคมีนั้น
จะให้ผลตอบสนองรวดเร็วทันใจ แต่ผลเสียก็คือว่าดินจะจับตัวกันแน่นและโครงสร้างของดินก็จะเสียหายไปด้วย ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียแกไม้ประดับของท่าน ในการใช้ปุ๋ยนั้นควรจะพิจารณาและเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของต้นไม้และดินด้วยื
ดิน ดินคือสิ่งที่พืชใช้ยึดเกาะเพื่อการทรงตัวและใช้รากชอนไชหาอาหาร จึงถือได้ว่าดินนั้นคือแหล่งกำเนิดอาหารขอพืช เพราะว่าในดินนั้นประกอบด้วยธาตุอาหารต่างๆ มากบ้างน้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับวัตถุต้นกำเนิดดิน ดินที่มีความเหมาะสมในการปลูกพืชจะต้องเป็นดินที่มีความอุมสมบูรณ์สูง คือจะต้องมีธาตุอาหารที่พืชต้องการอยู่อย่างครบถ้วนหรือเกือบจะครบ แต่ในยุคปัจจุบันนี้เราจะหาดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ดังกล่าวจากธรรมชาติได้ยากมาก จึงต้องอาศัยการปรุงแต่งจากภายนอก โดยการเพิ่มธาตุอาหารหรืออินทรีย์วัตถุต่างๆ ลงไป เพื่อปรับสภาพโครงสร้างของดินให้เหมาะสมกับการเพาะปลูกพืชและการเจริญเติบโตของพืช ดินที่เราพบเห็นกันอยู่ทั่วไปมีอยู่ 3 ประเภท คือ ดินร่วน ทินทราย และดินเหนียว ในบรรดาดินทั้งสามประเภทนี้ ดินร่วนถือได้ว่าเป็นดินที่มีความเหมาะสมในการปลูกพืชมากที่สุด เพราะสามารถเก็บความชื้น ระบายน้ำและระยายอากาศได้เป็นอย่างดี ดินทรายเป็นดินที่มีเม็ดดินขนาดใหญ่ อุ้มน้ำได้น้อย ไม่พอกับความต้องการของพืช ส่วนดินเหนียวนั้นเป็นดินที่มีขนาดของเม็ดดินที่เล็กมากจนละเอียดก็ว่าได้ ซึ่งเมื่ได้รับความชื้นเข้าไปจะจับตัวกันแน่น อุ้มน้ำได้ดี แต่อากาศไม่สามรถจะถ่ายเทได้สะดวก ถึงอย่างไรก็ตามทั้งดินทรายและดินเหนียวต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียการที่จะนำมาใช้ประโยชน์นี้ต้องพิจารณาถึงชนิด ความต้องการและประเภทของพืชเป็นหลักด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น